ตายอย่างสงบ...จบชีวิตที่บ้าน
เช้านี้นับเป็นวันที่ 1 เดือนรอมฏอน ของอิสลาม จึงอยากจะบันทึกเรื่องดีๆ เก็บไว้
ผมเปิดวิทยุไปพบคลื่น FM 100.5 ก่อนหกโมงเช้าเข้าใจว่าเป็นเทปบันทึกเสียงการพุดคุยจากงานสัมมนาด้านสาธารณสุข ซึ่งเป็นการพูดที่มีฟังแล้ว ใจมันตามติดจริงๆ ครับ
ผมขออนุญาตยกประเด็นที่จำได้มาเล่าต่อนะครับ
พยาบาลคนที่พูด ใช้ชื่อแทนตัวเองว่า "ติ๋ง" เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลภาชี เทปที่เปิดขึ้นมา ก็เป็นตอนที่เธอเล่าถึงเพื่อนพยาบาลในที่ทำงานของเธอ ซึ่งเป็นมะเร็งที่กล้ามเนื้อขา ตรวจครั้งแรกไม่พบอะไร ตรวจใหม่ที่โรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯ จึงทราบว่าเป็นมะเร็งระยะท้ายๆ หมอแนะนำให้ตัดขา แต่เธอบอกว่าปราถนาที่จบชีวิตอย่างครบ 32 ประการ เลยตัดแต่กล้ามเนื้อส่วนนั้นทิ้ง แต่ต่อมาก็เป็นใหม่อีก คุณติ๋ง ก็คอยดูแลเพื่อนพยาบาลคนนี้ คอยพูดคุยให้กำลังใจ ไถ่ถามว่ายังมีอะไรค้างคาในชีวิตส่วนที่เหลือ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องความเป็นห่วงอนาคตของลูก ซึ่งคุณติ๋งก็ไปตามเรื่องเงินสินไหมทดแทนหลังจากเสียชีวิตว่าเอจะได้เท่าไร และมาแจ้งให้เพื่อนที่ป่วยคนนี้ทราบ ก่อนเสียชีวิตของพยาบาลคนนี้ คุณติ๋งก็ไปชวนลูกชายของพยาบาลคนนั้นมาอยู่ข้าง และคอยสอนคำกล่าวตามศาสนาที่นับถือ และให้ลูกชายจับมือถือไว้ตลอดจนนาทีสุดท้าย
คุณติ๋งเล่าอีกว่าก่อนเพื่อนจะเสียชีวิต หมอก็คุยกันว่าไม่อยากให้พยาบาลคนนี้มาตายในเวลาเวรการทำงานของตนเอง หลัจากเพื่อนเธอตาย เธอก็ทำงานดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย ซึ่งเรียกชื่อโครงการว่า "ตายอย่างสงบ...จบชีวิตที่บ้าน" คุณติ๋งเล่าว่าจำนวนคนไข้มะเร็งที่เธอดูแลมีมากถึง 30,000 คน ใครปราถนาจะตายที่บ้านเธอก็จะประสานกับโรงพยาบาลและ อบต. ในพื้นที่ เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะเอาลงไปให้ที่บ้าน และเธอก็จะรับหน้าที่ไปดูแลคนไขเหล่านี้ตามบ้านทุกวัน
ตอนท้าย ที่ฟังแล้วอึ้งไปนิดๆ พอทราบว่าคุณติ๋งเอง ตรวจพบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย เธอบอกว่าเธอประมาทว่าตัวเองไม่เป็นแน่ๆ เพราะมีสุขภาพดีมาก เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอล เส้นลายมือก็ไม่สั้น ทันทีที่เธอทราบรู้สึกแย่มาก แต่โชคดีว่าสามีและลูกคอยเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ เธอลาพักร้อน 5 วันทันทีที่รู้ผลตรวจ เธอเคยไปช่วยเหตุการณ์ซึนามิ เธอบอกว่าใบหน้าของเธอตอนนั้นจะเน่าเละแบบศพ แต่ต่างตรงที่เธอมีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง เธอปรึกษาเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นหมอ เขาอธิบายว่าจะเลือกแบบไหน แต่ที่พบคือ 90% จบชีวิตในเวลาสั้นๆ อีก 10% มีชีวิตต่อไปอีก 2-3 ปี แล้วแต่ว่าคนไข้ดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน มีพระเอานำมันงามาให้เธอทาที่แผลเน่าเปื่อย ซึ่งบริเวณหน้าใช้ได้ผล แต่ตามเนื้อตัวยังไม่หาย ลูกชายเธอมาคุยกับเธอบอกว่าอยากบวชให้เธอ และหาอาหารสำหรับคนเป็นมะเร็งมาให้เธอทาน ทันทีที่เรียนมาจากคุณครูที่โรงเรียน
เธอบอกว่า เธอเตรียมพร้อมสำหรับการจากไปของเธอเรียบร้อยแล้ว ทำพินัยกรรมเรียบร้อย ส่วนสามีเธอมอบให้กับพุทธศาสนา เพราะว่าเป็นคนหน้าตาดี
เธอให้ข้อคิดไว้น่าสนใจว่า คนที่เป็นมะเร็งจะมี character เหล่านี้ อาทิ เป็นหงุดหงิด โมโห โกรธง่าย กังวัล เธอเลยฝากให้คนที่ยังไม่เป็นโรคนี้
แล้วเสียงเธอก็ถูกตัดไปหลังจากเวลา 06.00 นาฬิกาตรง